วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

E-Commerce คืออะไร

E-Commerce คือ
       E-Commerce หรือ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การดำเนินธุรกิจโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจที่องค์กรได้วางไว้ เช่น การซื้อขายสินค้าและบริการ การโฆษณาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ โทรทัศน์ วิทยุ หรือแม้แต่อินเทอร์เน็ต เป็นต้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดค่าใช้จ่าย และเพื่มประสิทธิภาพขององค์กร โดยการลดบทบาทองค์ประกอบทางธุรกิจลง เช่น ทำเลที่ตั้ง อาคารประกอบการ โกดังเก็บสินค้า ห้องแสดงสินค้า รวมถึงพนักงานขาย พนักงานแนะนำสินค้า พนักงานต้อนรับลูกค้า เป็นต้น จึงลดข้อจำกัดของระยะทาง และเวลาลงได้

          E-Commerce ช่วยอำนวยความสะดวกให้นักธุรกิจได้หลายด้าน ดังนี้
1.ทำงานแทนพนักงานขายได้ โดยสามารถทำการค้าแบบอัตโนมัติ ได้อย่างรวดเร็ว
2.ทำให้เปิดหน้าร้านขายของ ให้คนทั่วโลกได้ และเปิดขายได้ทุกวันโดยไม่มีวันหยุดตลอด 24 ชั่วโมง เช่น การขายโดยใช้ระบบ Shopping Cart ทำให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าได้เองตลอดเวลาผ่านเว็บไซต์
3.เก็บเงิน และนำฝาก เข้าบัญชีให้คุณได้โดยอัตโนมัติ
4.ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย ในการจัดพิมพ์แคตาล็อก (กระดาษ) ออกมาเป็นเล่ม ๆ และไม่ต้องมาเสียเงิน และเวลาในการจัดส่งให้ลูกค้าทางไปรษณีย์อีก
5.แทนได้ทั้งหน้าร้าน (Showroom) หรือบูท (Booth) แสดงสินค้าของคุณที่มีคนทั่วโลกมองเห็น ไม่ต้องเสียค่าเครื่องบิน ไปออกงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ
6.แทน และเพิ่มประสิทธิภาพ การบริหารธุรกิจ ภายในของเราได้อีกมากมาย 

         ประเภทของ E-Commerce
1.การทำการค้าระหว่าง Customer (ผู้บริโภคหรือผู้ซื้อ) กับ Business (ผู้ทำการค้า) เช่น ลูกค้าต้องการซื้อหนังสือกับร้านค้า
2.การทำการค้าระหว่าง Business (ผู้ทำการค้า)  กับ Business ( ผู้ทำการค้า) เช่น ร้านขายหนังสือค้าต้องการสั่งซื้อหนังสือจากโรงพิมพ์
3.การทำการค้าระหว่าง Business ( ผู้ทำการค้า)  กับ Customer (ผู้บริโภคหรือผู้ซื้อ) เช่น โรงพิมพ์ต้องการซื้อต้นฉบับจากผู้เขียน4. การทำการค้าระหว่าง Customer (ผู้บริโภคหรือผู้ซื้อ)  กับ Customer (ผู้บริโภคหรือผู้ซื้อ) ด้วยกันเช่น ผู้บริโภคต้องการขายรถยนต์ของต้นเองให้กับผู้บริโภคท่านที่สนใจ

         

E-Commerce คืออะไร อี คอมเมิร์ช คือ การดำเนินธุรกิจ โดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์

E-Commerce คืออะไร
E-Commerce หรือ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การดำเนินธุรกิจโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจที่องค์กรได้วางไว้ เช่น การซื้อขายสินค้าและบริการ การโฆษณาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ โทรทัศน์ วิทยุ หรือแม้แต่อินเทอร์เน็ต เป็นต้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดค่าใช้จ่าย และเพื่มประสิทธิภาพขององค์กร โดยการลดบทบาทองค์ประกอบทางธุรกิจลง เช่น ทำเลที่ตั้ง อาคารประกอบการ โกดังเก็บสินค้า ห้องแสดงสินค้า รวมถึงพนักงานขาย พนักงานแนะนำสินค้า พนักงานต้อนรับลูกค้า เป็นต้น จึงลดข้อจำกัดของระยะทาง และเวลาลงได้

E-Commerce ช่วยอำนวยความสะดวกให้นักธุรกิจได้หลายด้าน ดังนี้
1.ทำงานแทนพนักงานขายได้ โดยสามารถทำการค้าแบบอัตโนมัติ ได้อย่างรวดเร็ว
2.ทำให้เปิดหน้าร้านขายของ ให้คนทั่วโลกได้ และเปิดขายได้ทุกวันโดยไม่มีวันหยุดตลอด 24 ชั่วโมง เช่น การขายโดยใช้ระบบ Shopping Cart ทำให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าได้เองตลอดเวลาผ่านเว็บไซต์
3.เก็บเงิน และนำฝาก เข้าบัญชีให้คุณได้โดยอัตโนมัติ
4.ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย ในการจัดพิมพ์แคตาล็อก (กระดาษ) ออกมาเป็นเล่ม ๆ และไม่ต้องมาเสียเงิน และเวลาในการจัดส่งให้ลูกค้าทางไปรษณีย์อีก
5.แทนได้ทั้งหน้าร้าน (Showroom) หรือบูท (Booth) แสดงสินค้าของคุณที่มีคนทั่วโลกมองเห็น ไม่ต้องเสียค่าเครื่องบิน ไปออกงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ
6.แทน และเพิ่มประสิทธิภาพ การบริหารธุรกิจ ภายในของเราได้อีกมากมาย

ประเภทของ E-Commerce
1.การทำการค้าระหว่าง Customer (ผู้บริโภคหรือผู้ซื้อ) กับ Business (ผู้ทำการค้า) เช่น ลูกค้าต้องการซื้อหนังสือกับร้านค้า
2.การทำการค้าระหว่าง Business (ผู้ทำการค้า)  กับ Business ( ผู้ทำการค้า) เช่น ร้านขายหนังสือค้าต้องการสั่งซื้อหนังสือจากโรงพิมพ์
3.การทำการค้าระหว่าง Business ( ผู้ทำการค้า)  กับ Customer (ผู้บริโภคหรือผู้ซื้อ) เช่น โรงพิมพ์ต้องการซื้อต้นฉบับจากผู้เขียน4. การทำการค้าระหว่าง Customer (ผู้บริโภคหรือผู้ซื้อ)  กับ Customer (ผู้บริโภคหรือผู้ซื้อ) ด้วยกันเช่น ผู้บริโภคต้องการขายรถยนต์ของต้นเองให้กับผู้บริโภคท่านที่สนใจ

ข้อดี
1.เปิดดำเนินการค้า 24 ชั่วโมง
2.ดำเนินการค้าอย่างไร้พรมแดนทั่วโลก
3.ใช้งบประมาณลงทุนน้อย
4.ตัดปัญหาด้านการเดินทาง
5.ง่ายต่อการประชาสัมพัธ์โดย สามารถประชาสัมพันธ์ได้ทั่วโลก

ข้อเสีย
1.ต้องมีระบบรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ
2.จำเป็นต้องมีกฎหมายรองรับอย่างมีประสิทธิภาพ
3.การดำเนินการด้านภาษีต้องชัดเจน
4.ผู้ซื้อและผู้ขายจำเป็นต้องมีความรู้พื้นฐานในเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต

เปิดแล้ว App Center ใหม่จาก Facebook


      เครือข่ายสังคมยอดฮิต "เฟซบุ๊ก (Facebook)" เปิดตัวแหล่งรวมแอปพลิเคชันสำหรับชาวเฟซบุ๊กในชื่อ "แอปเซ็นเตอร์ (App Center)" อย่างเป็นทางการ ปูทางให้ใช้งานแล้วบนอุปกรณ์ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) อย่างไอโฟน ไอแพด   และไอพ็อด รวมถึงอุปกรณ์ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) หลากแบรนด์ เช่นเดียวกับผู้เล่นเฟซบุ๊กผ่านเว็บไซต์ Facebook.com ไม่หวังเป็นร้านโหลดแอปแต่ขอเป็นตัวช่วยให้ชาวเฟซบุ๊กใช้แอปพลิเคชันกับเพื่อนได้สนุกกว่าเดิม

                เฟซบุ๊กระบุว่าจำนวนแอปพลิเคชันในแอปเซ็นเตอร์ขณะนี้คือ 600 แอปพลิเคชัน ได้แก่แอปพลิเคชันที่ฮอตฮิตติดลมบนอย่าง Pinterest, Draw Something, Nike+, Path และ Ghost Recon ทั้งหมดนี้เฟซบุ๊กยืนยันว่าแอปเซ็นเตอร์จะไม่ใช่ร้านจำหน่ายแอปพลิเคชันเพื่อแข่งขันกับ Google Play หรือ iTunes App Store ของแอปเปิล แต่ต้องการเป็นฮับหรือแหล่งที่ชาวเฟซบุ๊กจะสามารถเข้ามาค้นหาแอปพลิเคชันใหม่ที่น่าสนใจ ซึ่งอิงกับกิจกรรมบนเฟซบุ๊กของคุณเองและของผองเพื่อน โดยไม่ว่าระบบจะแนะนำแอปพลิเคชันใด ผู้ใช้ก็จะถูกส่งไปยังหน้า Google Play และ iTunes อยู่ดี เพื่อดาวน์โหลดแอปนั้นอย่างง่ายดาย




                      สำหรับผู้ใช้งานผ่านเว็บไซต์ ชาวเฟซบุ๊กสามารถใช้งานแอปเซ็นเตอร์จากแถบ bookmark ซึ่งจะแสดงไว้ด้านมุมซ้ายบนของหน้า news feed ทุกคนสามารถเลือกดูแอปพลิเคชันตามกลุ่มเช่นเกม บันเทิง เพลง และข่าว เพื่อไล่รายชื่อแอปพลิเคชันที่เพื่อนใช้งานอยู่ หรือแอปพลิเคชันแนะนำน่าสนใจที่เพิ่งเปิดตัว
      ข้อมูลระบุว่า แอปเซ็นเตอร์จะแนะนำแอปโดยอิงจากแอปพลิเคชันที่คุณใช้งานอยู่ โดยเฉพาะแอปพลิเคชันที่ชาวเฟซบุ๊กตั้งค่าลงชื่อใช้งานด้วยชื่อและรหัสผ่านเฟซบุ๊ก (Facebook login) รสนิยมการใช้งานแอปพลิเคชันเหล่านี้จะถูกประมวลผลกลายเป็นรายการแอปพลิเคชันแนะนำ ซึ่งผู้ใช้เฟซบุ๊กผ่านเว็บจะสามารถทดลองใช้แอปพลิเคชันนั้นได้ทันที ส่วนผู้ใช้อุปกรณ์พกพาก็จะถูกส่งลิงก์ไปยัง iTunes หรือ Google Play เพื่อดาวน์โหลดแอปพลิเคชันต่อไป
       ความเคลื่อนไหวนี้ของเฟซบุ๊กตอกย้ำเทรนด์การเลือกแอปพลิเคชันแนว "Social Picks" หรือการเลือกตามกระแสความนิยมในขณะนั้น ซึ่งชาวเฟซบุ๊กจะสามารถตรวจรายชื่อแอปพลิเคชันยอดนิยมที่ถูกดาวน์โหลดมากที่สุดในแต่ละหมวดได้อย่างง่ายดาย จุดนี้ชัดเจนว่าเฟซบุ๊กสามารถนำจุดแข็งเรื่องความแน่นเฟ้นในเครือข่ายสังคม มาเสริมความน่าสนใจและเป็นประโยชน์ให้กับผู้ใช้ได้อย่างเหมาะสม
       ระหว่างการเปิดตัวแอปเซ็นเตอร์ เฟซบุ๊กให้ข้อมูลว่าชาวออนไลน์มากกว่า 230 ล้านคนนั้นเล่นเกมบนเฟซบุ๊กทุกเดือน โดยมากกว่า 130 เกมที่เปิดให้เล่นบนเฟซบุ๊กนั้นมีจำนวนผู้ใช้สม่ำเสมอหรือ active user มากกว่า 1 ล้านคนต่อเดือน แถมในเวลา 8 เดือนนับตั้งแต่เฟซบุ๊กจัดงาน f8 (กันยายน 2011) มีแอปพลิเคชันมากกว่า 4,500 แอปพลิเคชันแล้วที่เปิดตัวสำหรับทำงานบนไทม์ไลน์ (timeline)
       เฟซบุ๊กอ้างว่าเป็นช่องทางนำชาวออนไลน์เข้าสู่ร้าน Apple App Store ถึง 83 ล้านครั้งในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยมีส่วนผลักดันให้ชาวออนไลน์ใช้งานแอปพลิเคชันไอโอเอสมากกว่า 134 ล้านครั้งในเดือนเดียวกัน
     สำหรับผู้ใช้งานผ่านเว็บไซต์ ชาวเฟซบุ๊กสามารถใช้งานแอปเซ็นเตอร์จากแถบ bookmark ซึ่งจะแสดงไว้ด้านมุมซ้ายบนของหน้า news feed ทุกคนสามารถเลือกดูแอปพลิเคชันตามกลุ่มเช่นเกม บันเทิง เพลง และข่าว เพื่อไล่รายชื่อแอปพลิเคชันที่เพื่อนใช้งานอยู่ หรือแอปพลิเคชันแนะนำน่าสนใจที่เพิ่งเปิดตัว









วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2555

เรื่องที่ถนัดมากที่สุด


     การอ่านออกเสียง Phonetic Alphabet  เพราะการอ่านออกเสียงตัวอักษรแบบ Phonetic Alphabet เป็นสิ่งที่ผมถนัดและคล่อง ผมเองถนัดตั้งแต่ตอนเรียนเรียนอยู่ ป.ว.ส.ในวิชาภาษาอังกฤษสื่อสาร โดยเฉพาะอาจารย์ให้เขียนตามคำบอกโดยฟังเสียงตัวอักษรตามที่ีอาจารย์บอก ตอนเขียนตามคำบอกเสร็จแล้วก็บอกคะแนนนั้นผมได้คะแนนเต็ม10 และได้ถนัด Phonetic Alphabet ว่างๆก็ฝึกโดยดูจากหนังสือ TECH TALK ของ Oxford  และจากนิตยสาร 100 วัตต์ เ้กี่ยวกับวิทยุสมัครเล่น และรู้เกี่ยวกับ โค้ด  Q ที่วิทยุสมัครเล่นใช้บ่อย และ  โค้ด  ว. ที่นักวิทยุซีบีและอาสาสมัครนิยมใช้ จากนั้นก็เลยเรียนรู้จนเข้าใจ การอ่านออกเสียง Phonetic Alphabet   การใช้งาน Phonetic Alphabet จะพบเห็นได้ในการเรียกนามเรียกขานของนักวิทยุสมัครเล่น หรืออากาศยานเป็นต้น เช่น HS3UKA อ่านออกเสียงว่า โฮเท็ล เซียร่า ทรี ยูนิฟอร์ม กิโล อัลฟ่า หรือ HS-BAQ อ่านออกเสียงว่า โฮเท็ล เซียร่า บราโว่ อัลฟ่า คีเบ็ค