วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

E-Commerce คืออะไร

E-Commerce คือ
       E-Commerce หรือ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การดำเนินธุรกิจโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจที่องค์กรได้วางไว้ เช่น การซื้อขายสินค้าและบริการ การโฆษณาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ โทรทัศน์ วิทยุ หรือแม้แต่อินเทอร์เน็ต เป็นต้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดค่าใช้จ่าย และเพื่มประสิทธิภาพขององค์กร โดยการลดบทบาทองค์ประกอบทางธุรกิจลง เช่น ทำเลที่ตั้ง อาคารประกอบการ โกดังเก็บสินค้า ห้องแสดงสินค้า รวมถึงพนักงานขาย พนักงานแนะนำสินค้า พนักงานต้อนรับลูกค้า เป็นต้น จึงลดข้อจำกัดของระยะทาง และเวลาลงได้

          E-Commerce ช่วยอำนวยความสะดวกให้นักธุรกิจได้หลายด้าน ดังนี้
1.ทำงานแทนพนักงานขายได้ โดยสามารถทำการค้าแบบอัตโนมัติ ได้อย่างรวดเร็ว
2.ทำให้เปิดหน้าร้านขายของ ให้คนทั่วโลกได้ และเปิดขายได้ทุกวันโดยไม่มีวันหยุดตลอด 24 ชั่วโมง เช่น การขายโดยใช้ระบบ Shopping Cart ทำให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าได้เองตลอดเวลาผ่านเว็บไซต์
3.เก็บเงิน และนำฝาก เข้าบัญชีให้คุณได้โดยอัตโนมัติ
4.ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย ในการจัดพิมพ์แคตาล็อก (กระดาษ) ออกมาเป็นเล่ม ๆ และไม่ต้องมาเสียเงิน และเวลาในการจัดส่งให้ลูกค้าทางไปรษณีย์อีก
5.แทนได้ทั้งหน้าร้าน (Showroom) หรือบูท (Booth) แสดงสินค้าของคุณที่มีคนทั่วโลกมองเห็น ไม่ต้องเสียค่าเครื่องบิน ไปออกงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ
6.แทน และเพิ่มประสิทธิภาพ การบริหารธุรกิจ ภายในของเราได้อีกมากมาย 

         ประเภทของ E-Commerce
1.การทำการค้าระหว่าง Customer (ผู้บริโภคหรือผู้ซื้อ) กับ Business (ผู้ทำการค้า) เช่น ลูกค้าต้องการซื้อหนังสือกับร้านค้า
2.การทำการค้าระหว่าง Business (ผู้ทำการค้า)  กับ Business ( ผู้ทำการค้า) เช่น ร้านขายหนังสือค้าต้องการสั่งซื้อหนังสือจากโรงพิมพ์
3.การทำการค้าระหว่าง Business ( ผู้ทำการค้า)  กับ Customer (ผู้บริโภคหรือผู้ซื้อ) เช่น โรงพิมพ์ต้องการซื้อต้นฉบับจากผู้เขียน4. การทำการค้าระหว่าง Customer (ผู้บริโภคหรือผู้ซื้อ)  กับ Customer (ผู้บริโภคหรือผู้ซื้อ) ด้วยกันเช่น ผู้บริโภคต้องการขายรถยนต์ของต้นเองให้กับผู้บริโภคท่านที่สนใจ

         

E-Commerce คืออะไร อี คอมเมิร์ช คือ การดำเนินธุรกิจ โดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์

E-Commerce คืออะไร
E-Commerce หรือ พาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ คือ การดำเนินธุรกิจโดยใช้สื่ออิเล็กทรอนิกส์ เพื่อให้บรรลุเป้าหมายทางธุรกิจที่องค์กรได้วางไว้ เช่น การซื้อขายสินค้าและบริการ การโฆษณาผ่านสื่ออิเล็กทรอนิกส์ ไม่ว่าจะเป็นโทรศัพท์ โทรทัศน์ วิทยุ หรือแม้แต่อินเทอร์เน็ต เป็นต้น โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดค่าใช้จ่าย และเพื่มประสิทธิภาพขององค์กร โดยการลดบทบาทองค์ประกอบทางธุรกิจลง เช่น ทำเลที่ตั้ง อาคารประกอบการ โกดังเก็บสินค้า ห้องแสดงสินค้า รวมถึงพนักงานขาย พนักงานแนะนำสินค้า พนักงานต้อนรับลูกค้า เป็นต้น จึงลดข้อจำกัดของระยะทาง และเวลาลงได้

E-Commerce ช่วยอำนวยความสะดวกให้นักธุรกิจได้หลายด้าน ดังนี้
1.ทำงานแทนพนักงานขายได้ โดยสามารถทำการค้าแบบอัตโนมัติ ได้อย่างรวดเร็ว
2.ทำให้เปิดหน้าร้านขายของ ให้คนทั่วโลกได้ และเปิดขายได้ทุกวันโดยไม่มีวันหยุดตลอด 24 ชั่วโมง เช่น การขายโดยใช้ระบบ Shopping Cart ทำให้ลูกค้าสามารถสั่งซื้อสินค้าได้เองตลอดเวลาผ่านเว็บไซต์
3.เก็บเงิน และนำฝาก เข้าบัญชีให้คุณได้โดยอัตโนมัติ
4.ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย ในการจัดพิมพ์แคตาล็อก (กระดาษ) ออกมาเป็นเล่ม ๆ และไม่ต้องมาเสียเงิน และเวลาในการจัดส่งให้ลูกค้าทางไปรษณีย์อีก
5.แทนได้ทั้งหน้าร้าน (Showroom) หรือบูท (Booth) แสดงสินค้าของคุณที่มีคนทั่วโลกมองเห็น ไม่ต้องเสียค่าเครื่องบิน ไปออกงานแสดงสินค้าในต่างประเทศ
6.แทน และเพิ่มประสิทธิภาพ การบริหารธุรกิจ ภายในของเราได้อีกมากมาย

ประเภทของ E-Commerce
1.การทำการค้าระหว่าง Customer (ผู้บริโภคหรือผู้ซื้อ) กับ Business (ผู้ทำการค้า) เช่น ลูกค้าต้องการซื้อหนังสือกับร้านค้า
2.การทำการค้าระหว่าง Business (ผู้ทำการค้า)  กับ Business ( ผู้ทำการค้า) เช่น ร้านขายหนังสือค้าต้องการสั่งซื้อหนังสือจากโรงพิมพ์
3.การทำการค้าระหว่าง Business ( ผู้ทำการค้า)  กับ Customer (ผู้บริโภคหรือผู้ซื้อ) เช่น โรงพิมพ์ต้องการซื้อต้นฉบับจากผู้เขียน4. การทำการค้าระหว่าง Customer (ผู้บริโภคหรือผู้ซื้อ)  กับ Customer (ผู้บริโภคหรือผู้ซื้อ) ด้วยกันเช่น ผู้บริโภคต้องการขายรถยนต์ของต้นเองให้กับผู้บริโภคท่านที่สนใจ

ข้อดี
1.เปิดดำเนินการค้า 24 ชั่วโมง
2.ดำเนินการค้าอย่างไร้พรมแดนทั่วโลก
3.ใช้งบประมาณลงทุนน้อย
4.ตัดปัญหาด้านการเดินทาง
5.ง่ายต่อการประชาสัมพัธ์โดย สามารถประชาสัมพันธ์ได้ทั่วโลก

ข้อเสีย
1.ต้องมีระบบรักษาความปลอดภัยที่มีประสิทธิภาพ
2.จำเป็นต้องมีกฎหมายรองรับอย่างมีประสิทธิภาพ
3.การดำเนินการด้านภาษีต้องชัดเจน
4.ผู้ซื้อและผู้ขายจำเป็นต้องมีความรู้พื้นฐานในเทคโนโลยีอินเทอร์เน็ต

เปิดแล้ว App Center ใหม่จาก Facebook


      เครือข่ายสังคมยอดฮิต "เฟซบุ๊ก (Facebook)" เปิดตัวแหล่งรวมแอปพลิเคชันสำหรับชาวเฟซบุ๊กในชื่อ "แอปเซ็นเตอร์ (App Center)" อย่างเป็นทางการ ปูทางให้ใช้งานแล้วบนอุปกรณ์ระบบปฏิบัติการไอโอเอส (iOS) อย่างไอโฟน ไอแพด   และไอพ็อด รวมถึงอุปกรณ์ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์ (Android) หลากแบรนด์ เช่นเดียวกับผู้เล่นเฟซบุ๊กผ่านเว็บไซต์ Facebook.com ไม่หวังเป็นร้านโหลดแอปแต่ขอเป็นตัวช่วยให้ชาวเฟซบุ๊กใช้แอปพลิเคชันกับเพื่อนได้สนุกกว่าเดิม

                เฟซบุ๊กระบุว่าจำนวนแอปพลิเคชันในแอปเซ็นเตอร์ขณะนี้คือ 600 แอปพลิเคชัน ได้แก่แอปพลิเคชันที่ฮอตฮิตติดลมบนอย่าง Pinterest, Draw Something, Nike+, Path และ Ghost Recon ทั้งหมดนี้เฟซบุ๊กยืนยันว่าแอปเซ็นเตอร์จะไม่ใช่ร้านจำหน่ายแอปพลิเคชันเพื่อแข่งขันกับ Google Play หรือ iTunes App Store ของแอปเปิล แต่ต้องการเป็นฮับหรือแหล่งที่ชาวเฟซบุ๊กจะสามารถเข้ามาค้นหาแอปพลิเคชันใหม่ที่น่าสนใจ ซึ่งอิงกับกิจกรรมบนเฟซบุ๊กของคุณเองและของผองเพื่อน โดยไม่ว่าระบบจะแนะนำแอปพลิเคชันใด ผู้ใช้ก็จะถูกส่งไปยังหน้า Google Play และ iTunes อยู่ดี เพื่อดาวน์โหลดแอปนั้นอย่างง่ายดาย




                      สำหรับผู้ใช้งานผ่านเว็บไซต์ ชาวเฟซบุ๊กสามารถใช้งานแอปเซ็นเตอร์จากแถบ bookmark ซึ่งจะแสดงไว้ด้านมุมซ้ายบนของหน้า news feed ทุกคนสามารถเลือกดูแอปพลิเคชันตามกลุ่มเช่นเกม บันเทิง เพลง และข่าว เพื่อไล่รายชื่อแอปพลิเคชันที่เพื่อนใช้งานอยู่ หรือแอปพลิเคชันแนะนำน่าสนใจที่เพิ่งเปิดตัว
      ข้อมูลระบุว่า แอปเซ็นเตอร์จะแนะนำแอปโดยอิงจากแอปพลิเคชันที่คุณใช้งานอยู่ โดยเฉพาะแอปพลิเคชันที่ชาวเฟซบุ๊กตั้งค่าลงชื่อใช้งานด้วยชื่อและรหัสผ่านเฟซบุ๊ก (Facebook login) รสนิยมการใช้งานแอปพลิเคชันเหล่านี้จะถูกประมวลผลกลายเป็นรายการแอปพลิเคชันแนะนำ ซึ่งผู้ใช้เฟซบุ๊กผ่านเว็บจะสามารถทดลองใช้แอปพลิเคชันนั้นได้ทันที ส่วนผู้ใช้อุปกรณ์พกพาก็จะถูกส่งลิงก์ไปยัง iTunes หรือ Google Play เพื่อดาวน์โหลดแอปพลิเคชันต่อไป
       ความเคลื่อนไหวนี้ของเฟซบุ๊กตอกย้ำเทรนด์การเลือกแอปพลิเคชันแนว "Social Picks" หรือการเลือกตามกระแสความนิยมในขณะนั้น ซึ่งชาวเฟซบุ๊กจะสามารถตรวจรายชื่อแอปพลิเคชันยอดนิยมที่ถูกดาวน์โหลดมากที่สุดในแต่ละหมวดได้อย่างง่ายดาย จุดนี้ชัดเจนว่าเฟซบุ๊กสามารถนำจุดแข็งเรื่องความแน่นเฟ้นในเครือข่ายสังคม มาเสริมความน่าสนใจและเป็นประโยชน์ให้กับผู้ใช้ได้อย่างเหมาะสม
       ระหว่างการเปิดตัวแอปเซ็นเตอร์ เฟซบุ๊กให้ข้อมูลว่าชาวออนไลน์มากกว่า 230 ล้านคนนั้นเล่นเกมบนเฟซบุ๊กทุกเดือน โดยมากกว่า 130 เกมที่เปิดให้เล่นบนเฟซบุ๊กนั้นมีจำนวนผู้ใช้สม่ำเสมอหรือ active user มากกว่า 1 ล้านคนต่อเดือน แถมในเวลา 8 เดือนนับตั้งแต่เฟซบุ๊กจัดงาน f8 (กันยายน 2011) มีแอปพลิเคชันมากกว่า 4,500 แอปพลิเคชันแล้วที่เปิดตัวสำหรับทำงานบนไทม์ไลน์ (timeline)
       เฟซบุ๊กอ้างว่าเป็นช่องทางนำชาวออนไลน์เข้าสู่ร้าน Apple App Store ถึง 83 ล้านครั้งในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา โดยมีส่วนผลักดันให้ชาวออนไลน์ใช้งานแอปพลิเคชันไอโอเอสมากกว่า 134 ล้านครั้งในเดือนเดียวกัน
     สำหรับผู้ใช้งานผ่านเว็บไซต์ ชาวเฟซบุ๊กสามารถใช้งานแอปเซ็นเตอร์จากแถบ bookmark ซึ่งจะแสดงไว้ด้านมุมซ้ายบนของหน้า news feed ทุกคนสามารถเลือกดูแอปพลิเคชันตามกลุ่มเช่นเกม บันเทิง เพลง และข่าว เพื่อไล่รายชื่อแอปพลิเคชันที่เพื่อนใช้งานอยู่ หรือแอปพลิเคชันแนะนำน่าสนใจที่เพิ่งเปิดตัว









วันเสาร์ที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2555

เรื่องที่ถนัดมากที่สุด


     การอ่านออกเสียง Phonetic Alphabet  เพราะการอ่านออกเสียงตัวอักษรแบบ Phonetic Alphabet เป็นสิ่งที่ผมถนัดและคล่อง ผมเองถนัดตั้งแต่ตอนเรียนเรียนอยู่ ป.ว.ส.ในวิชาภาษาอังกฤษสื่อสาร โดยเฉพาะอาจารย์ให้เขียนตามคำบอกโดยฟังเสียงตัวอักษรตามที่ีอาจารย์บอก ตอนเขียนตามคำบอกเสร็จแล้วก็บอกคะแนนนั้นผมได้คะแนนเต็ม10 และได้ถนัด Phonetic Alphabet ว่างๆก็ฝึกโดยดูจากหนังสือ TECH TALK ของ Oxford  และจากนิตยสาร 100 วัตต์ เ้กี่ยวกับวิทยุสมัครเล่น และรู้เกี่ยวกับ โค้ด  Q ที่วิทยุสมัครเล่นใช้บ่อย และ  โค้ด  ว. ที่นักวิทยุซีบีและอาสาสมัครนิยมใช้ จากนั้นก็เลยเรียนรู้จนเข้าใจ การอ่านออกเสียง Phonetic Alphabet   การใช้งาน Phonetic Alphabet จะพบเห็นได้ในการเรียกนามเรียกขานของนักวิทยุสมัครเล่น หรืออากาศยานเป็นต้น เช่น HS3UKA อ่านออกเสียงว่า โฮเท็ล เซียร่า ทรี ยูนิฟอร์ม กิโล อัลฟ่า หรือ HS-BAQ อ่านออกเสียงว่า โฮเท็ล เซียร่า บราโว่ อัลฟ่า คีเบ็ค

       
     
      



วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ตัวอย่างเว็บไซต์ E-Commerce

1.http://www.monsterbook.co.th/ บริษัท มอนสเตอร์บุ๊ค จำกัด  เป็นเว็บไซต์ " Monsterbook สัตว์ประหลาดจัดส่ง...สดตรงจากสำนักพิมพ์ "
2.สินค้า คือ  หนังสือการ์ตูนความรู้ทุกๆด้าน จากสำนักพิมพ์
- E.Q.Plus E.Q.Plus Genius"สร้างโลกความรู้ด้วยความสนุก"
- Pick&Play : "
อ่านแล้วเก่ง...เล่นแล้วสร้างสรรค์"
- Punica
และ Punica Comic : "Black Fantacy & Miracle Fantacy"
- Happy-P "
นวนิยายการ์ตูนสุดหรรษา"

3.เป็นเว็บไซต์จำหน่ายหนังสือการ์ตูนความรู้ หน้าแรก จะประกอบไปด้วย ชื่อหนังสือใหม่มาใหม่จากสำนักพิมพ์และรวมหมวดหมู่สินค้าทุกๆสำนักพิมพ์ที่ก่อนหน้านี้
เว็บจะประกอบไปด้วย  หน้าแรก สินค้าทั้งหมด วิธีการสั่งซื้อ วิธีการชำระเงิน ติดแต่เรา เบอร์โทร ค้นหาสินค้า แบ่งแยกหมวดหมู่สินค้า มีการสมัครสมาชิก
วิธีการสั่งซื้อ
 สมัครสมาชิกมอนสเตอร์บุ๊ค(คลิก)  กรอกข้อมูลที่เป็นจริง เพื่อการจัดส่งที่ถูกต้อง 
สิร์ชหาหนังสือที่ต้องการ
เมื่อเลือกหนังสือครบตามที่ต้องการแล้ว ให้คลิก"สั่งซื้อสินค้า"
ระบบจะสรุปรายการสินค้า (Subtotal)
• หากการสั่งซื้อต่อครั้งไม่ถึง 500 บาท ลูกค้าจะต้องจ่ายค่าจัดส่งเพิ่มอีก 40 บาท
    โดยคลิกเลือกที่ช่อง "ค่าขนส่งต่อครั้ง" เลือกข้อความ "สั่งซื้อสินค้าไม่ถึง 500 บาท (40 บาท)"
แต่หากสั่งซื้อครบ 500 บาทขึ้นไปไม่ต้องคลิกเลือกค่าขนส่ง (เมื่อสั่งซื้อครบ 500 บาทขึ้นไป ฟรี!!! ค่าจัดส่ง)
จากนั้นคลิก "สั่งซื้อสินค้า"
ติ๊กช่องบนสุดเพื่อเลือกที่อยู่สำหรับจัดส่ง ตามที่ลงทะเบียนสมาชิกไว้  หรือกรอกที่อยู่จัดส่งใหม่
คลิก"ดำเนินการต่อ" 
เลือกวิธีการชำระเงินโดยคลิกที่ช่อง "ชำระเงินผ่านธนาคาร" จากนั้นกด "ดำเนินการ>>"
ระบบจะสรุปข้อมูการสั่งซื้อพร้อมรายละเอียดทั้งหมดให้ทราบ   กรุณาตรวจสอบความถูกต้องอีกครั้ง
กด"ยืนยันการสั่งซื้อ"
รอรับสินค้า 
• สามารถเช็คสถานะการสั่งซื้อและจัดส่ง ได้จากหน้า "เช็คสถานะ"(ต้องloginก่อน)






วันอาทิตย์ที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

E-commerce


DENON DJ DN-HD2500 (เครื่องเล่นดีเจ คอนโทรลด้วยคอมพิวเตอร์)

DENON DJ
รุ่น                DN-HD2500
หมวดสินค้า    ดีเจ
ประเภท         ดีเจ เพลเยอร์
ราคาขาย
86,000.00 บาท/เครื่อง 

DENON DN-HD2500 (เครื่องเล่น ดีเจ คอนโทรลด้วยคอมพิวเตอร์)

DN-HD2500 Professional Media Player & controller
A hard-drive based, professional media player and controller offering a total all-in-one “nerve center” that addresses and actually anticipates your ever changing needs. It’s flexible, feature packed, and built for any event where professional-quality, and flawless performance is expected.
Denon’s DN-HD2500 will enable users to play files from external hard drives, iPods® and other portable music players and even an internal hard drive. The device will
incorporate a 2.5" hard drive similar to those found in laptop computers. And users who choose to can download songs into the unit from their personal computer as well.
The DN-HD2500 will link to a Denon Dual CD deck (DN-D4500/BU4500) enabling users to control traditional and CD’s & MP3 CD-Rom’s from the user interface. Furthermore, the DN-HD2500 will be able to link with Denon’s mixers including the X900/X500 mixers directly taking advantage of fader start functionality and other features.

FEATURES

  • Internal 40GB Hard Disk to store and playback thousands of songs
  • Supports up to 4 External USB Portable Devices with additional music
  • Intuitive File Navigation System: (Artist, Album, Title, Genre, BPM, Year, Folder & Playlist)
  • Supports any Standard (Qwerty, Qwertz, Azerty) USB Keyboard
  • Large 3.8 inch LCD Display
  • Music Manager PC Software Included
  • Supports optional BU4500 drive unit for CD/MP3 disc playback
  • 4 Superb Built-In Effects (Echo, Echo Loop, Flanger, Filter)
  • 3 Platter Effects, (Brake, Dump, Reverse)
  • Next File Function with Cross Fade
  • Playlist Function (create, edit, import, export)
  • 2 Hot Starts & Seamless Loops (per Deck)
  • A/B Point Loop Trim
  • Key Adjust
  • Memo Function (Cue Points, BPM, Pitch, and more)
  • Touch Sensitive Jog Disc (File & Frame Search, Scratch, Pitch Bend)
  • 4-Way BPM Counter: (Auto, Tap, Manual Input, Reads MP3/WAV BPM Metadata-if available)
  • 6 Pitch Ranges with Deep Resolution (4%/10%/16%/24%/50%/100%)
  • 2 Way Cue Search System
  • Fader Start Compatible
  • Digital Outputs
  • Software Upgradeable by USB via DENON DJ website
  • Comes preloaded with demo music from: 2-Travelers
  • USB MIDI Controller(controls various audio/video DJ applications, PC/MAC)
  • Supported Platforms: Mac OSX 10.4 or Higher, Windows XP SP2, Windows Vista

                                                      ติดต่อเรา
    E-mail:idolmaster_boy@hotmail.com         TEL: 085-5853170
   

ระบบ PERT/CPM


การวางแผนและควบคุมโครงการด้วยเทคนิค PERT และ CPM
1.  แนวคิดเกี่ยวกับ PERT และ CPM
ในการบริหารงานโครงการขนาดใหญ่ ซึ่งประกอบด้วยกิจกรรมต่างๆ มากมายจำเป็นต้องมีการวางแผน กำหนดขั้นตอนในการทำงาน และควบคุมความก้าวหน้าของโครงการเป็นอย่างดี ในปัจจุบันเทคนิคของการบริหารโครงการที่นิยมใช้กัน ได้แก่ Gantt Chart , เทคนิค PERT และ CPM
เทคนิค PERT และ CPM
เทคนิคการประเมินผลและทบทวนโครงการ (Program Evaluation and Review Technique : PERT)  และ ระเบียบวิธีวิกฤต (Critical Path Method : CPM) เป็นเทคนิคเชิงปริมาณด้านการวิเคราะห์ข่ายงาน (Network analysis) ที่ใช้กันแพร่หลายในการวางแผนและควบคุมงานที่มีลักษณะเป็นงานโครงการ (งานที่มีจุดเริ่มต้นและจุดสิ้นสุด และสามารถกระจายเป็นงานย่อยที่มีความสัมพันธ์กันได้ซึ่งจะช่วยให้ผู้บริหารโครงการสามารถดำเนินโครงการให้สำเร็จตามเวลาและในงบประมาณที่กำหนด
ความเป็นมาของ PERT และ CPM
PERT พัฒนาขึ้นเมื่อ พ.. 2501โดยกองทัพเรือสหรัฐร่วมกับ บูซ แอลเลน และ แฮมิลตัน(Booz Allen and Hamilton)  และ ล๊อกฮีด แอร์คราฟต์ (Lockheed Aircraft) เพื่อใช้ในการบริหารโครงการขีปนาวุธโพลาริส (Polaris) ซึ่งเป็นโครงการขนาดใหญ่ ประกอบด้วยผู้รับเหมาช่วง(Subcontractor) มากกว่า 9,000 ราย ลักษณะของโครงการเป็นการวิจัยและพัฒนา และมีการผลิตส่วนประกอบใหม่ๆ ซึ่งไม่เคยมีผู้ใดผลิตมาก่อน ดังนั้นการประมาณระยะเวลาในการดำเนินการต่างๆ ในโครงการจึงไม่สามารถกำหนดลงไปได้แน่นอน ตายตัว จำเป็นต้องนำเอาแนวความคิดของความน่าจะเป็น (probability concept) เข้ามาประกอบด้วย จึงอาจกล่าวได้ว่า จุดเด่นของ PERT คือ การสามารถนำไปใช้กับโครงการที่มีเวลาดำเนินงานไม่แน่นอน
CPM พัฒนาขึ้นเมื่อ พ.. 2500 โดเคลลี (J.E. Kelly) แห่งเรมิงตัน แรนด์ (Remington Rand) ร่วมกับวอล์กเกอร์ (M.R. Walker) แห่งบริษัทดูปองต์ (Dopont) เพื่อใช้ในโครงการก่อสร้างและซ่อมบำรุงเครื่องจักรในโรงงานเคมี โดยเน้นในด้านการวางแผนและควบคุมเวลา ตลอดจนค่าใช้จ่ายโครงการ CPM มักจะนำไปใช้กับโครงการที่ผู้บริหารเคยมีประสบการณ์มาก่อนและสามารถประมาณเวลารวมทั้งค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานของโครงการได้แน่นอน
ความแตกต่างระหว่าง PERT และ CPM
ข้อแตกต่างชัดเจนระหว่าง PERT และ CPM คือ เวลาในการทำกิจกรรม กล่าวคือ เวลาในการทำกิจกรรมของ PERT จะเป็นเวลาโดยประมาณซึ่งคำนวณได้ด้วยการใช้ความน่าจะเป็น PERT จึงใช้กับโครงการที่ไม่เคยทำมาก่อน หรือโครงการซึ่งไม่สามารถเก็บรวบรวมเวลาของการทำกิจกรรมได้ เช่น โครงการพัฒนาวิจัย ส่วน CPM นั้น เวลาที่ใช้ในกิจกรรมจะเป็นเวลาที่แน่นอน ซึ่งคำนวณได้จากข้อมูลที่เคยทำมาก่อน เช่น อัตราการทำงานของงานแต่ละประเภท อัตราการทำงานของเครื่องจักร เป็นต้นCPM จึงใช้กับโครงการที่เคยทำมาก่อน ซึ่งมีความชำนาญแล้ว เช่น งานก่อสร้าง

2. โครงข่ายงาน (Network)

            ข่ายงาน (Network) คือ แผนภูมิหรือไดอะแกรมที่เขียนขึ้นแทนกิจกรรมต่างๆ ที่ต้องทำในโครงการ โดยแสดงลำดับก่อนหลังของกิจกรรม 

3. การวิเคราะห์ข่ายงาน
เมื่อทำการสร้างข่ายงานเพื่อแสดงความสัมพันธ์ของกิจกรรมต่างๆ เรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปจะเป็นการวิเคราะห์ข่ายงานที่สร้างขึ้น เพื่อหาสายงานวิกฤติ ซึ่งก็คืองานต่างๆ ที่มีความสำคัญเป็นงานที่กำหนดและควบคุมการเสร็จของโครงการ ซึ่งสายงานวิกฤตินี้จะมีระยะเวลายาวนานที่สุดของโครงการ ซึ่งระยะเวลาการดำเนินของสายงานวิกฤติ เรียกว่า ระยะเวลาวิกฤติ (Critical time)

การคำนวณหาสายงานวิกฤติ

การคำนวณสายงานวิกฤติของเทคนิค PERT และ CPM นั้นไม่ต่างกัน แต่ในที่นี้จะเริ่มจากการศึกษาวิธีการของ CPM ก่อน เนื่องจาก CPM นั้นมีระยะเวลาในการปฏิบัติงานที่แน่นอน 


เทคนิค PERT
            เทคนิค PERT จะแตกต่างจากเทคนิค CPM อย่างเดียวก็คือ ระยะเวลาของการปฏิบัติงานไม่สามารถกำหนดลงไปแน่นอนได้ ต้องมีการประมาณค่าของระยะเวลาปฏิบัติงานของแต่ละงาน ดังนั้น เทคนิค PERT เป็นตัวแบบที่ไม่แน่นอน (Probabilistic Model) เวลาที่ใช้ในการปฏิบัติงานของแต่ละงานที่จะนำมาพิจารณาใน เทคนิค PERT มีดังนี้
            ระยะเวลาที่เสร็จเร็วที่สุด (Optimistic time) ใช้สัญลักษณ์ a
            ระยะเวลาที่เสร็จช้าที่สุด (Pessimistic Time) ใช้สัญลักษณ์ b
            ระยะเวลาที่เสร็จบ่อยๆครั้งที่สุด (Most likely time) ใช้สัญลักษณ์ m
              ระยะเวลาในการปฏิบัติงานเทคนิค PERT ซึ่งมีค่าไม่แน่นอน ซึ่งมีการแจกแจงความน่าจะเป็นในรูปแบบ เบต้า (Beta Distribution)

          การเร่งโครงการ
กิจกรรมวิกฤต คือ กิจกรรมที่สำคัญ ถ้ากิจกรรมวิกฤต เสร็จช้ากว่าที่กำหนดไว้ โครงการก็เสร็จช้าไปด้วย ดังนั้นการควบคุมกิจกรรมวิกฤตจึงมีผลต่อกำหนดการแล้วเสร็จของโครงการด้วย
            ในกรณีที่มีความจำเป็นต้องเร่งโครงการให้เสร็จเร็วขึ้น สามารถทำได้โดยการเร่งให้กิจกรรมวิกฤต เสร็จเร็วกว่ากำหนด ซึ่งจะทำได้โดยการเพิ่มทรัพยากร เช่น คนงาน เวลา หรือเครื่องมือในการดำเนินการ แต่ก็ต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นกว่าการทำงานตามปกติ 
            ในโครงการหนึ่งๆ จะมีกิจกรรมวิกฤต มากกว่า 1 กิจกรรม ซึ่งในแต่ละกิจกรรม จะมีวิธีการดำเนินงานที่ต่างกัน ใช้ทรัพยากรที่ต่างกัน จึงทำให้เสียค่าใช้จ่ายแตกต่างกันไป ดังนั้นเมื่อจำเป็นต้องมีการเร่งโครงการเกิดขึ้น ผู้บริหารควรที่จะวิเคราะห์ได้ว่า ควรเร่งกิจกรรมใดบ้าง จึงจะทำให้ประสิทธิภาพในการทำงานดีที่สุด และเสียค่าใช้จ่ายต่ำที่สุด
            การเร่งโครงการ เป็นการวิเคราะห์ที่เน้นความสัมพันธ์ระหว่างเวลากับค่าใช้จ่าย (Time-cost tradeoffs) จึงจำเป็นต้องมีข้อมูลต่อไปนี้
1.เวลาดำเนินงานตามปกติ ( Normal time , Tn) คือเวลาที่ประมาณไว้ในขั้นตอนการวางแผน
2.เวลาดำเนินการอย่างเร่งรัด (Crash time , Tc) คือ ระยะเวลาสั้นที่สุดที่จะเร่งกิจกรรมนั้นๆ
เช่น กิจกรรม A โดยปกติใช้เวลาดำเนินการ 5 วัน แต่สามารถเร่งให้เสร็จได้โดยใช้เวลา 2วันเป็นต้น
3.ค่าใช้จ่ายปกติ (Normal cost , Cn) คือค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเมื่อกิจกรรมมีการดำเนินงานตามปกติ
4.ค่าใช้จ่ายเร่งรัด (Crash cost , Cc) คือ ค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเมื่อเร่งกิจกรรมนั้นๆ ให้เสร็จโดยเร็วที่สุด เช่น กิจกรรม A ใช้ค่าใช้จ่าย 1000 บาทในการทำให้เสร็จ 5 วัน ถ้าต้องการเร่งงานให้เสร็จใน 2 วัน อาจต้องมีการจ้างคนงานเพิ่มขึ้น มีการใช้เครื่องมือเพิ่มขึ้น ทำให้ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเป็น 1600 บาท เป็นต้น

ขั้นตอนในการเร่งโครงการ

1. กำหนดวัตถุประสงค์ในการเร่งโครงการ
2.คำนวณเวลาแล้วเสร็จตามปกติของโครงการ ระบุเส้นทางวิกฤต และกิจกรรมวิกฤต
3.เร่งกิจกรรมที่มีค่าใช้จ่ายในการเร่งงานต่อหน่วยต่ำที่สุด ในกรณีที่มีเส้นทางวิกฤตมากกว่า 1เส้นทาง ให้เลือกกิจกรรมวิกฤตที่มีค่าใช้จ่ายในการเร่งงานต่ำที่สุดในแต่ละเส้นทาง และเร่งกิจกรรมเหล่านั้นให้เสร็จเร็วขึ้นเท่าๆ กัน
4.คำนวณเวลาแล้วเสร็จของโครงการ ถ้าโครงการยังไม่เสร็จตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้กลับไปทำขั้นตอนที่ 3 ถ้าเป็นไปตามเป้าหมายให้ทำขั้นตอนต่อไป
5.ตรวจสอบแผนงานการเร่งโครงการเพื่อปรับปรุงการกำหนดงาน ซึ่งจะช่วยลดค่าใช้จ่ายที่ไม่จำเป็นลงไปได้บางส่วน